สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 22-28 พฤศจิกายน 2564

 

ข้าว

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้
1.1) ด้านการผลิต
(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุม
ค่าเช่าที่นา
(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตร (ข้าวพันธุ์ กข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว โครงการเพิ่มปริมาณ
น้ำต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ระบบส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรม และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน
(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต
(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)
(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นแข็ง และพันธุ์ข้าวเหนียว
(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)
1.2) ด้านการตลาด
(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร
(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการส่งเสริมผลักดันการส่งออกข้าว และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทย เพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
(5) การประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
(6) การประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ประกอบด้วย
3 โครงการ ได้แก่
(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อรักษาราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ
โดยให้มีการเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เป้าหมายจำนวน 2 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 31 มีนาคม 2565 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2565) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,225 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,206 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.20
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 7,666 บาท ราคาลดลงจากตันละ 7,708 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.54
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 24,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,870 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,510 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.13
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 669 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,035 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 664 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,530 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.75 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 505 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 403 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,274 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวที่เฉลี่ยตันละ 403 ดอลลาร์สหรัฐ (13,067 บาท/ตัน) เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 207 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 406 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,373 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 403 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,067 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.74 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 306 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.9379 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
          เวียดนาม
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะราคาส่งออกข้าวปรับลดลงตามสถานการณ์ราคาข้าวของประเทศคู่แข่ง เช่น อินเดีย ปากีสถาน เพื่อดึงความสนใจของผู้ซื้อ อย่างไรก็ตามจากการที่ภาวะอุปทานข้าวในตลาดภายในประเทศเริ่มตึงตัว เนื่องจากการเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังรอบที่ 2 หรือข้าวในฤดูการผลิตฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว (autumn-winter crop) เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงราคาข้าวไม่ให้ลดลงไปมาก โดยราคาข้าวขาว 5% อยู่ที่ตันละ 425-430 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากตันละ 430-435 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยวงการค้าคาดว่า ราคาข้าวจะปรับตัวลงไม่มากนัก จนกว่าจะถึงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวฤดูใหม่ หรือฤดูการผลิตฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิต (the winter-spring crop)
จะออกสู่ตลาดในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงมีนาคมของปีหน้า
กรมศุลกากรเวียดนาม (the Customs Department) รายงานว่า ในเดือนตุลาคม 2564 เวียดนามส่งออกข้าวปริมาณ 618,162 ตัน มูลค่าประมาณ 321.941 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 520.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยทั้งปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 70.3 และร้อยละ 67.7 ตามลำดับ แต่ราคาส่งออกเฉลี่ยลดลงร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (เดือนตุลาคม 2563 เวียดนาม ส่งออกข้าวปริมาณ 362,930 ตัน มูลค่าประมาณ 192.010 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 529 ดอลลาร์สหรัฐฯ) และ
เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 และร้อยละ 9.8 ตามลำดับ รวมทั้งราคาส่งออกเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 (เดือนกันยายน 2564 เวียดนาม ส่งออกข้าวปริมาณ 593,624 ตัน มูลค่าประมาณ 293.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 493.68 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
ชนิดข้าวที่เวียดนามส่งออกในเดือนตุลาคม 2564 ประกอบด้วย ข้าวพันธุ์ DT8 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.6 ของปริมาณส่งออกทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ข้าวขาว 5% ร้อยละ 17 ข้าวพันธุ์ OM5451 ร้อยละ 13.9 ข้าวหอม Jasmine ร้อยละ 9.2 ข้าวเหนียว ร้อยละ 8.7 ข้าวหอม KDM ร้อยละ 5.4 ข้าวขาว 15% ร้อยละ 3.4 ข้าวพันธุ์ ST21 ร้อยละ 0.8 เป็นต้น  โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ปริมาณ 275,386 ตัน มูลค่า 137.13 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 44.55 ของปริมาณส่งออกทั้งหมด จีน ปริมาณ 78,959 ตัน มูลค่า 36.165 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 12.77 กาน่า ปริมาณ 68,188 ตัน มูลค่า 41.825 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 11.03 คิวบา ปริมาณ 42,452 ตัน มูลค่า 23.225 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 6.87 ไอวอรี่โคสต์ ปริมาณ 31,400 ตัน มูลค่า 15.027 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 5.08 มาเลเซีย ปริมาณ 18,986 ตัน มูลค่า 8.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 3.07 อินโดนีเซีย ปริมาณ 14,586 ตัน มูลค่า 6.955 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 2.36 ปาปัวนิวกินี ปริมาณ 9,810 ตัน มูลค่า 4.277 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 1.59 โมซัมบิก ปริมาณ 7,063 ตัน มูลค่า 3.848 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 1.14 และสิงคโปร์ ปริมาณ 7,091 ตัน มูลค่า 4.169 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 1.15 ของปริมาณส่งออกทั้งหมด
โดยในช่วง 10 เดือนของ 2564 (มกราคม-ตุลาคม) มีการส่งออกข้าวปริมาณ 5,183,112 ตัน มูลค่าประมาณ 2,737.195 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 528.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณลดลงร้อยละ 3.14 แต่มูลค่าส่งออกเพิ่มขี้นร้อยละ 3.7 และราคาส่งออกเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   โดยตลาดส่งออกที่สำคัญในช่วง 10 เดือนของปี (มกราคม-ตุลาคม 2564) ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ซึ่งส่งออกประมาณ 2,093,859 ตัน มูลค่าประมาณ 1,069.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.51 และร้อยละ 23.14 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รองลงมา เช่น จีน ประมาณ 924,030 ตัน มูลค่าประมาณ 459.851 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.51 และร้อยละ 21.16 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กาน่า ประมาณ 510,013 ตัน มูลค่าประมาณ 302.978 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.88 และร้อยละ 14.85 ตามลำดับ ไอวอรี่โคสต์ ประมาณ 312,384 ตัน มูลค่าประมาณ 159.021 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 22.14 และร้อยละ 13.8 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มาเลเซีย ประมาณ 252,810 ตัน มูลค่าประมาณ 125.214 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 51.97 และร้อยละ 44.49 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สิงคโปร์ ประมาณ 97,725 ตัน มูลค่าประมาณ 56.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.71 และร้อยละ 10.37 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ฮ่องกง ประมาณ 66,749 ตัน มูลค่าประมาณ 40.656 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณลดลงร้อยละ 2.31 แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
บังคลาเทศ ประมาณ 53,212 ตัน มูลค่าประมาณ 32.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9,385 และร้อยละ 11,034 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โมซัมบิก ประมาณ 50,034 ตัน มูลค่า 28.885 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณลดลงร้อยละ 6.61 แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.33 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และอินโดนีเซีย ประมาณ 54,688 ตัน มูลค่าประมาณ 26.792 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 34.75 และร้อยละ 41.26 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
          ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
          อินเดีย
ภาวะราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 3 เดือน (นับตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2564) เนื่องจากความต้องการข้าวจากต่างประเทศลดลงโดยเฉพาะตลาดในแถบแอฟริกา ขณะที่ผู้ซื้อบางส่วนชะลอการซื้อเพื่อรอดูสถานการณ์ราคาข้าวที่คาดว่าจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลง โดยข้าวนึ่ง 5% ราคาอยู่ที่ตันละ 354-360 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ตันละ 359-364 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้ผู้บริหารของ บริษัท Olam ในอินเดีย คาดว่าความต้องการข้าวจากต่างประเทศจะลดลง เนื่องจากผู้ซื้อรอดูสถานการณ์ผลผลิตข้าวฤดูใหม่ที่จะออกสู่ตลาดในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้
สำนักงานข่าวสารและสถิติเชิงพาณิชย์ (Directorate General of Commercial Intelligence and Statistics; DGCIS) รายงานว่า ในเดือนกันยายน 2564 อินเดียส่งออกข้าวได้ประมาณ 1.780 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.90 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 1.484 ล้านตัน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.70 เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2564 ที่ส่งออกได้ประมาณ 1.623 ล้านตัน โดยชนิดข้าวที่ส่งออกในเดือนกันยายน 2564 ประกอบด้วย ข้าวขาว
ที่ไม่ใช่บาสมาติประมาณ 1.53 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.15 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 1.132 ล้านตัน และข้าวบาสมาติส่งออกได้ประมาณ 0.25 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 28.98 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 0.352 ล้านตัน
ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรก (เมษายน-กันยายน 2564) ของปีงบประมาณ 2564/65 (เมษายน 2564-มีนาคม 2565) อินเดียส่งออกข้าวได้ประมาณ 10.143 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.24 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 7.503 ล้านตัน ประกอบด้วย ข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติประมาณ 8.193 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.18 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 5.116 ล้านตัน และข้าวบาสมาติประมาณ 1.950 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 18.31 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 2.387 ล้านตัน
สำหรับปีที่ผ่านมา ปีงบประมาณ 2563/64 (เมษายน 2563-มีนาคม 2564) อินเดียส่งออกข้าวได้ 17,719,472 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 86.30 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 9,511,049 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8,815 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.80 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 6,351 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จำแนกเป็น การส่งออกข้าวบาสมาติ 4,631,531 ตัน มูลค่า 4,019 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 868 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.97 แต่มูลค่าลดลงร้อยละ 7.20 และราคาส่งออกเฉลี่ยลดลงร้อยละ 10.70 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 4,454,771 ตัน มูลค่าประมาณ 4,331 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 972 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การส่งออกข้าวขาว
ที่ไม่ใช่บาสมาติประมาณ 13,087,941 ตัน มูลค่าประมาณ 4,796 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 366 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 158.8 และร้อยละ 137.4 ตามลำดับ แต่ราคาส่งออกเฉลี่ยลดลงร้อยละ 8.30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 5,056,278 ตัน มูลค่าประมาณ 2,020 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 399 ดอลลาร์สหรัฐฯ
กรมการอาหารและการกระจายสินค้าสาธารณะ สังกัดกระทรวงกิจการผู้บริโภค อาหาร และการกระจายสินค้าสาธารณะ (The Department of Food and Public Distribution under the Ministry of Consumer Affairs, Food and Public Distribution) แถลงว่า โครงการจัดหาข้าวของรัฐบาลในฤดูการผลิต Kharif (Kharif marketing season; KMS) ของปี 2564/65 (1 ตุลาคม 2564-30 กันยายน 2565) ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 สามารถจัดหาข้าวได้ประมาณ 24.802 ล้านตัน จากหลายรัฐ เช่น Chandigarh, Gujarat, Haryana, Himachal Pradesh, Jammu & Kashmir, Punjab, Uttar Pradesh, Uttrakhand, Telangana, Rajasthan, Kerala, Tamil Nadu และ Bihar โดยมีเกษตรกรได้รับผลประโยชน์จากโครงการนี้แล้วประมาณ 1.371 ล้านราย คิดเป็นมูลค่า 6,537.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (คิดเป็นราคาเฉลี่ยของข้าวที่รัฐบาลรับซื้อประมาณตันละ 264 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ส่วนโครงการจัดหาข้าวของรัฐบาลฯ ในปี 2563/64 (1 ตุลาคม 2563-30 กันยายน 2564) รัฐบาลสามารถจัดหาข้าวได้ประมาณ 89.24 ล้านตันข้าวเปลือก ประกอบด้วย ข้าวจากฤดูการผลิต Kharif crop ประมาณ 71.810 ล้านตัน และจากฤดูการผลิต Rabi crop ประมาณ 17.615 ล้านตัน
โดยเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2564 กระทรวงเกษตรและสวัสดิการเกษตรกร (the Ministry of Agriculture & Farmers Welfare) รายงานว่า รัฐบาลได้ประกาศราคารับซื้อข้าวขั้นต่ำ (the minimum support price; MSP)
สำหรับฤดูการผลิต Kharif (มิถุนายน-กันยายน 2564) ปี 2564/65 (ตุลาคม 2564-กันยายน 2565) โดยรัฐบาล
ได้ประเมินต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ในปี 2564/65 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,293 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณตันละ 177 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ดังนั้น เพื่อให้เกษตรกรมีผลกำไรประมาณร้อยละ 50 จากการเพาะปลูกข้าว รัฐบาลจึงกำหนดราคารับซื้อ ขั้นต่ำสำหรับข้าวคุณภาพธรรมดาไว้ที่ 1,940 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณตันละ 266 ดอลลาร์สหรัฐฯ) เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 3.85 จาก 1,868 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณตันละ 256 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ในปี 2563/64 ขณะที่ข้าว คุณภาพดี (Grade ‘A’ paddy) กำหนดไว้ที่ 1,960 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณตันละ 269 ดอลลาร์สหรัฐฯ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.80 จาก 1,888 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณตันละ 258 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ในปี 2563/64
องค์การอาหารแห่งชาติ (The Food Corporation of India; FCI) รายงานว่า สต็อกข้าว ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 มีประมาณ 39.99 ล้านตัน (รวมข้าวสารที่คำนวณมาจากสต็อกข้าวเปลือกประมาณ 25.469 ล้านตัน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับจำนวน 34.02 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับ 34.75 ล้านตัน ในเดือนตุลาคม 2564
ขณะที่สต็อกธัญพืช (ข้าวและข้าวสาลี) โดยรวมของอินเดีย ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 มีจำนวน 82.112 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 เมื่อเทียบกับ 74.319 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.22
เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยสต็อกข้าวสาลีมีประมาณ 41.981 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับ 40.299 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่ลดลงร้อยละ 10.5 เมื่อเทียบกับ 46.851 ล้านตัน ในเดือนตุลาคม
ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติว่า รัฐบาลจะเพิกถอนกฎหมายปฏิรูปนโยบายด้านเกษตรกรรมทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งเป็นชนวนเหตุให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ของเกษตรกรทั่วอินเดีย และยืดเยื้อยาวนานตั้งแต่เดือนกันยายน 2563  โดยรัฐบาลของโมดียืนกรานมาตลอดว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นการเปิดเสรีให้ผู้ผลิตและผู้ขายสามารถเจรจากันเองได้โดยตรง แต่เกษตรกรส่วนใหญ่
ให้ความเห็นว่า กลุ่มผู้ไม่หวังดีจะอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อกดราคาสินค้า เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลจะประกันราคาขั้นต่ำให้กับสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว มัน และธัญพืช หากกฎหมายมีผลบังคับใช้ เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยจะถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างแน่นอน
ด้านแกนนำของสหภาพเกษตรกรอินเดีย แสดงความยินดีและพึงพอใจต่อการที่รัฐบาลเป็นฝ่ายประนีประนอม ว่าเป็นผลจากพลังแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของเกษตรกรในประเทศ แต่จะยุติการเคลื่อนไหวเมื่อโลกสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรเริ่มพิจารณาคำร้องยกเลิกกฎหมายจากรัฐบาลเท่านั้น โดยการเคลื่อนไหวอันยาวนานทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก จากการปะทะเป็นระยะกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง
อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์เช่นกันว่าเป็นการหาเสียงและเรียกคืนคะแนนนิยมจากกลุ่มเกษตรกรหรือไม่ เนื่องจากการตัดสินใจของผู้นำอินเดียเกิดขึ้นก่อนที่รัฐอุตตรประเทศซึ่งมีประชากรมากที่สุดในอินเดีย และรัฐใหญ่อีก
สองแห่ง จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นช่วงต้นปีหน้า และประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมด้วย แต่พรรคภารติยะ ชนตะ (BJP) ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลชุดปัจจุบันยืนกรานปฏิเสธ
          ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

 


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.86 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.84 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.23 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.90 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 6.92 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.29
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.48 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 10.55 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.66 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.28 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 10.40 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.15
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 323.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,639.00 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 330.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,687.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.12 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 48.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนธันวาคม 2564 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 581.00 เซนต์ (7,630.00 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากบุชเชล 573.00 เซนต์ (7,417.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.40 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 213.00 บาท

 


มันสำปะหลัง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2565 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 – กันยายน 2565) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.664 ล้านไร่ ผลผลิต 32.730 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.387 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.796 ล้านไร่ ผลผลิต 32.499 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.318 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ลดลงร้อยละ 1.35 แต่ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.71 และร้อยละ 2.08 ตามลำดับ โดยเดือนพฤศจิกายน 2564 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.31 ล้านตัน (ร้อยละ 3.99 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2565 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2565 ปริมาณ 20.30 ล้านตัน (ร้อยละ 62.02 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงต้นฤดูการเก็บเกี่ยว หัวมันสำปะหลังออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นและคุณภาพดี สำหรับลานมันเส้นและโรงงานแป้งมันสำปะหลังส่วนใหญ่เปิดดำเนินการ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.22 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 2.19 บาทในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.37
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.55 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.45 บาทในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.55
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ7.52 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.42 บาทในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.35
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 14.91 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 14.77 บาทในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.95
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 256 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,432 บาทต่อตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 250 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,106 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.40
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 488 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,074 บาทต่อตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 485 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,726 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.62


 


ปาล์มน้ำมัน
 
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ   
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2564 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนพฤศจิกายนจะมีประมาณ 1.070
ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.193 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.246 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.224 ล้านตันของเดือนตุลาคม คิดเป็นร้อยละ 14.13 และร้อยละ 13.84 ตามลำดับ   
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 8.51 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 8.14 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.55
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 45.55 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 44.05 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.41
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ปริมาณผลผลิตและการส่งออกน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียปี 2564 มีแนวโน้มจะลดลงต่อเนื่องจากปี 2563 คาดว่าเกิดมาจากการบำรุงรักษาสวนที่ไม่ดีและการใช้ปุ๋ยน้อยลง และการส่งออกลดลงจากปี 2563 ร้อยละ 0.34 คาดว่าเกิดจากปริมาณการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบที่คาดว่าจะลดลงถึงร้อยละ 60.50 จากปี 2563 เนื่องจากอินเดียเลือกนำเข้าน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์มากขึ้นในปี 2564 ซึ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 22.20 อย่างไรก็ตามในอนาคต อินโดนีเซียตั้งใจจะหยุดการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าปาล์มน้ำมัน
ราคาในตลาดต่างประเทศ    
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 5,320.02 ดอลลาร์มาเลเซีย (42.55 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 5,357.37 ดอลลาร์มาเลเซีย (42.57 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.70                        
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,344.38 ดอลลาร์สหรัฐฯ (44.86 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,379.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (45.33 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.55        
หมายเหตุ:  ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน


 


อ้อยและน้ำตาล

1. สรุปภาวะการผลิต  การตลาดและราคาในประเทศ

    ไม่มีรายงาน

2. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
    USDA ได้คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำตาลของ EU ในปี 2564/2565 จะเพิ่มขึ้นเป็น 16.6 ล้านตัน เนื่องจากปริมาณผลผลิตที่ฝรั่งเศส โปแลนด์ และเยอรมันเคยได้รับผลกระทบจากโรคใบเหลืองน้อยกว่าปี 2563 ความต้องการน้ำตาลจะฟื้นตัวขึ้นแต่ยังต่ำกว่าก่อนมีโรคระบาด ขณะที่การนำเข้าจะเพิ่มขึ้นจาก 1.5 ล้านตัน บริษัทผู้ค้าน้ำตาล Tereos คาดการณ์ว่าความเท่าเทียมกันของการนำเข้าที่สูงจะช่วยพยุงราคาในประเทศ
    นักวิเคราะห์ท้องถิ่นของประเทศจีนกล่าวว่า การเก็งกำไรการนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็นเวลาสั้นๆ ในวันที่ 23 พฤศจิกายน เนื่องจากราคาน้ำตาลล่วงหน้าตลาดนิวยอร์คที่อ่อนตัว และราคาน้ำตาลล่วงหน้าในประเทศอ่อนตัวลงเช่นกัน บริษัทอาหาร และเครื่องดื่มรายใหญ่ของประเทศกล่าวว่า พวกเขากำลังดิ้นรนกับต้นทุนที่สูงขึ้น และกังวลกับราคาที่สูงขึ้นขณะที่การฟื้นฟูความต้องการยังคงเปราะบาง




 

 
ถั่วเหลือง

1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 15.25 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเท (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,266.55 เซนต์ (15.33 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1,262.76 เซนต์ (15.25บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.30
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 361.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.06 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 369.58 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.14 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.19
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 59.88 เซนต์ (44.04 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 58.79 เซนต์ (42.58 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.85


 

 
ยางพารา
 
 

 
ถั่วเขียว

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 20.62 สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 19.63 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.04
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 41.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 24.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 40.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี        
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 973.40 ดอลลาร์สหรัฐ (32.06 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 987.00 ดอลลาร์สหรัฐ (32.00 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.38 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.06 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 881.80 ดอลลาร์สหรัฐ (29.04 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 893.60 ดอลลาร์สหรัฐ (28.97 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.32 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.07 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,279.80 ดอลลาร์สหรัฐ (42.15 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,297.40 ดอลลาร์สหรัฐ (42.07 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.36 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.09 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 759.00 ดอลลาร์สหรัฐ (25.00 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 769.60 ดอลลาร์สหรัฐ (24.95 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.38 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.05 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,242.80 ดอลลาร์สหรัฐ (40.94 บาท/กก.) ลดลงจากตัน 1,260.00 ดอลลาร์สหรัฐ (40.86 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.37 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.08 บาท


 

 
ถั่วลิสง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 46.19 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 43.49 บาท จากสัปดาห์ก่อนร้อยละ 6.21
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.71 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 33.28 บาท จากสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.27
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 64.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน


 

 
ฝ้าย

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
    ราคาที่เกษตรกรขายได้
    ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ ไม่มีการรายงานราคา
    ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
    ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนธันวาคมและมีนาคม 2564 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 115.23 เซนต์ (กิโลกรัมละ 84.77 บาท) ลดลงจากปอนด์ละ 118.42 เซนต์ (กิโลกรัมละ 85.80 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.69 (ลดลงในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 1.03 บาท)

 

 
ไหม

ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,635 บาท ลดลงจาก กิโลกรัมละ 1,729 บาท คิดเป็นร้อยละ 5.45 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,389 บาท ลดลงจาก กิโลกรัมละ 1,413 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.71 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 996 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา


 

 
ปศุสัตว์

สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
 
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ  74.19 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 73.95  คิดเป็นร้อยละ 0.32 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 69.06 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.12 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 78.28 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 76.24 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้  ตัวละ 2,500 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 78.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ

สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดมีจำนวนน้อยกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 38.83 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 32.30 บาทคิดเป็นร้อยละ 20.22 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 38.88 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 43.04 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 12.50 ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ

สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดมีน้อยกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 282 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 279 บาทคิดเป็นร้อยละ 1.09 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 304 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 282 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 277 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา  
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 3.13 บาท  ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 352 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 354 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.64 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 369 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 363 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 325 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 3.95 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 97.05 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 95.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.63 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 94.04 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 98.79 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 88.68 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 109.29 บาท

กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 80.94 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 80.80 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.16 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.83 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 79.61 บาท  ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน


 

 
 

 
ประมง

สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 22 – 28 พฤศจิกายน 2564) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคค่อนข้างคงที่
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 78.21 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคค่อนข้างคงที่
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 153.60 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 151.01 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.59 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 160.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 158.33 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.67 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 71.63 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 69.46 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.17 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 100.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคค่อนข้างคงที่
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 180.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.57 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.40 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 36.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.60 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.40 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 31.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.60 บาท